วิกฤตสุขภาพคนทำงาน: เมื่อการไม่ออกกำลังกายกำลังเป็นภัยเงียบ
การออกกำลังกายไม่ใช่เพียงแค่กิจกรรมเพื่อความแข็งแรง แต่เป็นกลไกสำคัญในการควบคุมน้ำหนัก ลดความเสี่ยงของโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (Non-Communicable Diseases: NCDs) และเสริมสร้างสุขภาวะในระยะยาว โดยเฉพาะในกลุ่มคนทำงานที่ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับกิจกรรมที่ต้องนั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรืออยู่ในสภาพแวดล้อมแบบเนือยนิ่ง การละเลยการเคลื่อนไหวร่างกายจึงอาจนำไปสู่ภาวะน้ำหนักเกิน โรคอ้วน และโรคNCD เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ ซึ่งนอกจากจะส่งผลต่อคุณภาพชีวิต ยังอาจกลายเป็นภาระเรื้อรังของระบบสุขภาพในอนาคต
ศูนย์วิจัยความสุขคนทำงานแห่งประเทศไทย สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล เผยข้อมูลที่น่ากังวลด้านพฤติกรรมสุขภาพของคนทำงานไทย โดยเฉพาะในประเด็นเกี่ยวกับพฤติกรรมการออกกำลังกายของคนทำงานในประเทศไทย ผลการสำรวจแฮปปีโนมิเตอร์ประจำปี 2568 ได้ชี้ให้เห็นภาพตรงกันข้ามกับเป้าหมายของสังคมสุขภาวะ เมื่อพบว่า ร้อยละ 31.3 ของคนทำงานไม่ได้ออกกำลังกายเลย และอีก ร้อยละ 35.8 ออกกำลังกายน้อยกว่า 3 วันต่อสัปดาห์ มีเพียง ร้อยละ 32.9 เท่านั้นที่ออกกำลังกายอย่างน้อย 3 วันต่อสัปดาห์
ที่น่าวิตก กลุ่มคนทำงาน Generation ใหม่กลับแสดงพฤติกรรมเนือยนิ่งมากที่สุด โดยในกลุ่ม Gen Y (ช่วงอายุ 30–45 ปี) มีถึง ร้อยละ 34.6 ที่ไม่ออกกำลังกายเลย ขณะที่กลุ่ม Gen Z (ช่วงอายุ 15 - 29 ปี) ตัวเลขอยู่ที่ ร้อยละ 32.1 ในทางกลับกัน กลุ่ม Baby Boomers กลับแสดงความตระหนักรู้ด้านสุขภาพมากกว่า ด้วยอัตราการออกกำลังกายอย่างน้อย 3 วันต่อสัปดาห์ที่สูงถึง ร้อยละ 57.9 ตามด้วย Gen X ที่ ร้อยละ 41.2
ข้อมูลยังสะท้อนให้เห็นความเหลื่อมล้ำด้านพฤติกรรมสุขภาพระหว่างเพศ โดย ผู้หญิงมีแนวโน้มไม่ออกกำลังกายมากกว่าผู้ชาย (ร้อยละ 34.4 เทียบกับ 25.1) และ ผู้ชายออกกำลังกายเป็นประจำในสัดส่วนที่มากกว่า (ร้อยละ 39.6 ในกลุ่มคนทำงานชาย เทียบกับร้อยละ 29.2 ในกลุ่มคนทำงานหญิง)
การวิเคราะห์ความแปรปรวน (ANOVA) เพื่อประเมินความแตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ยของค่าดัชนีมวลกาย (Body Mass Index: BMI) พบว่า ระดับความถี่ในการออกกำลังกายมีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญกับค่าดัชนีมวลกาย (BMI) โดยกลุ่มที่ไม่ออกกำลังกายเลยมีค่าเฉลี่ย BMI อยู่ที่ 25.1 ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มที่เสี่ยงต่อภาวะอ้วนและโรคแทรกซ้อน ขณะที่ผู้ที่ออกกำลังกายบ้างแต่ไม่ถึง 3 วันต่อสัปดาห์ มีค่าเฉลี่ย BMI อยู่ที่ 24.8 ซึ่งยังถือว่าอยู่ในกลุ่ม “น้ำหนักเกิน” และค่าเฉลี่ย BMI ลดน้อยลงในกลุ่มผู้ที่มีจำนวนวันในกออกกำลังกายต่อสัปดาห์เพิ่มขึ้น (ภาพที่ 1)
Note: ANOVA Test: F = 19.44; P-value < 0.01
ภาพที่ 1 ค่าเฉลี่ย BMI จำแนกตามความถี่ในการออกกำลังกายต่อสัปดาห์
ภาพรวมจากข้อมูลดังกล่าวชี้ว่า คนวัยทำงานของประเทศไทยจำนวนมากยังขาดวินัยในการออกกำลังกาย ซึ่งเป็นการดูแลสุขภาพร่างกายเบื้องต้นที่สำคัญ โดยเฉพาะในกลุ่มคน Gen ใหม่ที่แม้จะเข้าถึงข้อมูลและมีความรู้ด้านสุขภาพ แต่กลับมีแนวโน้มเพิกเฉยต่อการออกกำลังกาย ซึ่งหากไม่เร่งปรับพฤติกรรม อาจส่งผลกระทบรุนแรงทั้งในระดับปัจเจกและระดับประเทศ
ถึงเวลาแล้วที่ภาครัฐ เอกชน และสถานประกอบการจะต้องร่วมกันวางแผนออกแบบส่งเสริมกิจกรรมทางกายอย่างจริงจังในสถานที่ทำงานและชุมชนเมือง ไม่ใช่เพียงเพื่อ “ลดน้ำหนัก” แต่เพื่อเสริมสร้างฐานรากทรัพยากรมนุษย์ที่สุขภาพดี มีพลังในการผลิต และลดภาระโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่กำลังกลายเป็นปัญหาใหญ่ของระบบสาธารณสุขไทย